Home Product

รวบรวมบทวิเคราะห์ทองจากบลจ.ต่างๆประจำวันที่ 11 ตุลาคม 2555

รวบรวมบทวิเคราะห์ทองจากบลจ.ต่างๆประจำวันที่ 11 ตุลาคม 2555

MTS

วิเคราะห์ทางเทคนิคช่วงเช้า

Gold – ราคาทองค าอยู่ในช่วงของการปรับฐานท าก าไร หลังจากปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง การที่ราคาทองค ายังทรงตัวและไม่สามารถยืนอยู่เหนือระดับ 1,763 เหรียญได้ถือว่าไม่ค่อยดีนัก โดยภาพรวมราคาทองค าในระยะสั้นดูจะเป็นทิศทางDownside ในลักษณะค่อยๆ ซึมลง ในระยะกลางและระยะยาว สัญญาณทางเทคนิคเริ่มบ่งบอกถึงการทรงตัว และมีโอกาสที่จะปรับตัวลดลงได้ โดยมีแนวรับของราคาถัดไปตาม Average ที่ 1,743 เหรียญ อยู่ที่ระดับ Fibonacci Figure ที่23.6% จึงแนะน าให้นักลงทุนระมัดระวังในการลงทุนในช่วงนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าในวันนี้ราคาไม่สามารยืนอยู่เหนือระดับ 1,763 ได้ แนะน าให้ทยอยค่อยๆ ลดพอร์ทลงบ้าง วันนี้จะมีตัวเลขเศรษฐกิจที่ส าคัญสองตัวที่เกี่ยวข้องกับราคาทองค าได้แก่ Trade Balance และ Unemployment Claims ซึ่งโดยภาพรวมคาดว่าจะทรงตัว หมายความว่าคนว่างอาจจะเพิ่มสูงขึ้นเพียง 1,000 ต าแหน่งจากการคาดการณ์ ซึ่งถ้าเป็นตามนั้นราคาน่าจะทรงตัวๆ แต่ในช่วงใกล้เลือกตั้งก็ไม่แน่ว่าจะมีตัวเลขใดออกมาผิดเพี้ยนบ้าง ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีผิดเพี้ยนกว่าที่คาดเยอะคือดีกว่าที่คาดไว้มาก ตัวเลขเศรษฐกิจที่ส าคัญในวันนี้จะประกาศประมาณเวลา 19.30 น. รอจับตาดูการเคลื่อนไหวของราคาในเวลาดังกล่าว

คำแนะนำการลงทุน

Daily

เก็งก าไรในภาวะการแกว่งตัวในกรอบ 1,750 –1,763 เหรียญ เป็นลักษณะขายก่อนแล้วรอซื้อกลับมากกว่า ระหว่างการแกว่งตัวในทิศทางขาลง

Weekly

ยังคงถือครองพอร์ทเท่าเดิม ไม่แนะน าให้ซื้อเพิ่ม หากราคาไม่สามารถยืนอยู่เหนือระดับ 1,763 เหรียญได้แนะน าให้ลดพอร์ทบ้างบางส่วน

Monthly

ถือครองพอร์ทเท่าเดิม ยังไม่แนะน าให้ซื้อเพิ่ม รอความชัดเจนของทิศทางตลาด บริเวณที่แนะน าให้ซื้อเพิ่มส าหรับนักลงทุนระยะยาวจะอยู่ที่ระดับ 1,762 เหรียญ

Gold Recap

Morning Recap

ราคาทองค าต่างประเทศเปิดที่ระดับ 1,762 เหรียญ/ออนซ์ Gold Futures V12 เปิดที่ 25,930 บาท สมาคมค้าทองแท่งเปิดที่ 25,600 – 25,700 บาท

Night Recap

ราคาทองค าเปิดตลาดช่วงค่ าในประเทศไทยที่ระดับ 1,763เหรียญ โดยราคาเคลื่อนตัวอยู่ระหว่าง 1,756 – 1,767 เหรียญ

ก่อนกลับมาปิดตลาดที่ 1,762 เหรียญ ในเวลาประเทศไทยข่าวที่สำคัญ

คำแนะนำ

-ราคาทองค าเคลื่อนตัวในทิศทาง Sideway เมื่อคืนนี้ จากความกังวลที่เกิดขึ้นใหม่ในวิกฤตหนี้ยูโรโซนควบคู่ไปกับความกังวลในเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง โดยสัญญาโกลด์ฟิวเจอร์สส่งมอบเดือนธันวาคมปรับตัวเพิ่มขึ้น 10 เซนต์ ปิดตลาด COMEX ที่ระดับ 1,765.10 เหรียญ/ออนซ์ ในขณะที่ราคา Spot Gold ปรับตัวลดลง 75 เซนต์ ที่ระดับ 1,762.90 เหรียญ

-ปริมาณการถือครองทองค าของกองทุน Gold ETFs พุ่งขึ้นท าจุดสูงสุดใหม่ จากการที่ FastMarkets ซื้อทองค าเพิ่มอีก 2.6 ตันเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ส่งผลให้ปริมาณทองค าในกองทุน ETFs ท าจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2,595.32 ตัน หรือ 75.03ล้านออนซ์ ซึ่งคอมเมิร์ซแบงก์ระบุว่า ความสนใจที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในกองทุน Gold ETFs นั้นเกิดขึ้นไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา จากการที่นักลงทุนตระหนักถึงการที่ธนาคารกลางต่างๆ มีการผ่อนคลายนโยบายการเงินอย่างมาก

-ส านักงานส ารวจจ านวนประชากรและสถิติของฮ่องกงรายงานว่า การขนส่งทองค าจากฮ่องกงไปยังจีนในช่วงเดือนสิงหาคมลดลง 29% จากเดือนที่แล้วสู่ระดับ 53.508 ตัน

-ตัวเลขเศรษฐกิจทางฝั่งยุโรปที่ประกาศออกมาเมื่อวานนี้ได้แก่ การผลิตภาคอุตสาหกรรมของอิตาลีประจ าเดือนสิงหาคมออกมาที่ระดับ 1.7% ดีกว่าที่คาดไว้ที่ระดับติดลบ 0.1% และของฝรั่งเศสออกมาดีกว่าที่คาดเช่นกันที่ระดับ 1.5% คาดการณ์ไว้ที่ 0.6%

-เมื่อคืนนี้ช่วงเวลาประมาณตีหนึ่ง เฟดเปิดเผยในรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book ว่าเศรษฐกิจสหรัฐ “ขยายตัวเล็กน้อย" ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา โดยการใช้จ่ายของผู้บริโภคโดยทั่วไปทรงตัว หรือเพิ่มขึ้นเล็กน้อยนับตั้งแต่รายงานครั้งก่อนในเดือนส.ค. ขณะที่ยอดค้าปลีกในหลายเขตมีการขยายตัวเล็กน้อย ส่วนยอดค้าปลีกในนิวยอร์ก ชิคาโกและแคนซัส ซิตี้อยู่ในระดับทรงตัวหรืออ่อนแรงลงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ตลาดโดยส่วนใหญ่เพิกเฉยต่อการรายงาน Beige Book ของเฟด

-นายกรัฐมนตรีมาริโอ มอนติ ของอิตาลี ประกาศเมื่อวานนี้ว่ารัฐบาลอิตาลีจะลดภาษีเงินได้ในปีหน้า หลังจากที่คณะรัฐมนตรีได้ประชุมร่วมกันว่าด้วยเรื่องงบประมาณจนถึงเมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา โดยภาษีเงินได้จะปรับลดลงเหลือ 22% จาก 23%ส าหรับผู้ที่มีรายได้ต่ ากว่า 15,000 ยูโร (19,283 ดอลลาร์สหรัฐ) ต่อปี และลดลงเหลือ 26% จาก 27% ส าหรับผู้ที่มีรายได้ระหว่าง 15,001-28,000 ยูโร ส่วนผู้มีรายได้สูงกว่านั้นอัตราภาษียังคงเดิม

-ราคาทองค าได้รับแรงกดดันหลังจากไอเอ็มเอฟเปิดเผยว่า วิกฤตหนี้ยูโรโซนเป็นการคุกคามส าคัญต่อการเติบโตของเศรษฐ กิจ และความเสี่ยงต่างๆ ต่อความมั่นคงทางการเงินของโลกมีเพิ่มมากขึ้นในช่วง  6 เดือนที่ผ่านมา ส่งผลให้ความเชื่อมั่นมีความอ่อนแอเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ไอเอ็มเอฟได้กระตุ้นกลุ่มผู้ก าหนดนโยบายของยุโรปให้มีการเร่งฟื้นฟูความเชื่อมั่นทางการคลังและการเงินในระบบทางการเงิ นของโลก ในขณะเดียวกัน ไอเอ็มเอฟก็มีการระบุในรายงานเสถียรภาพทางการเงินโลกว่า หากไม่สามารถควบคุมการคลังหรือจัดตั้งระบบก ากับดูแลที่เป็นหนึ่งเดียวได้ตามเวลาที่ก าหนด ธนาคาร 58 แห่งในสหภาพยุโรปอาจถูกบังคับให้ต้องลดสินทรัพย์ลงมากถึง 4.5 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งตัวเลขดังกล่าวสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ และจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในกรีซ ไซปรัส ไอร์แลนด์ อิตาลี โปรตุเกส และสเปน